วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Japan3 #2

ต่อจากเอนทรี่ที่แล้ว มาถึงนาริตะแล้ว ต้องผ่านตม. ก่อนรับกระเป๋า ป้ายต้อนรับเต็มไปหมดเลย (คนสำคัญสินะ ฮ่าๆ)
 
 

ผ่านตม. รับกระเป๋า ผ่านจนท.ศุลกากรแล้ว มีภารกิจต้องไปที่ชั้น 4 เพื่อไปรับโทรศัพท์ที่เช่าไว้ จากไปรษณีย์ (ตาลีตาเหลือรีบไปรับ เพราะต้องรีบเข้าโตเกียวให้เร็วที่สุดในชีวิต รูปไม่ได้ถ่ายมาเลย) ได้โทรศัพท์มาก็ลงมาที่ชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วรถไฟ Metro 2 Day คนละ 2 ใบ และซื้อตั๋วรถไฟเข้าโตเกียวของ Keisei แต่ครั้งนี้นั่งหรูนะ ปกตินั่งแบบหวานเย็นราคาถูก 1000 เยนถึงอุเอโนะ ครั้งนี้รีบ+พาแม่มาด้วยเลยนั่งแบบ Skyliner ราคาเข้าโตเกียวต่อคนต่อเที่ยว 2400 เยน ไปกลับก็ 4800 เยน แต่เดี๋ยวก่อนซื้อพร้อมตั๋ว Metro คุณจะได้ราคาโปรโมชั่นไปเลย (มีหลายโปรมากเข้าไปดูเองแล้วกัน Keisei Skyliner Promotion) แน่นอนระดับดิชั้นแล้ว ต้องซื้อแบบที่คุ้มที่สุด 4880 เยนได้ตั๋วไป-กลับนาริตะ และตั๋วเมโทร 2 วัน มา 1 ใบ  ตอนจองตั๋วต้องระบุเลยว่าจะนั่งเที่ยวไหน เค้าจะจองทั้งเที่ยวรถและที่นั่งให้เลย

และด้วยความรีบเหลือเวลาไม่ถึง 10 นาทีในการขึ้นรถไฟเข้าอุเอโนะ ทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปเคาเตอร์ขายตั๋วมา (เอ่อ..ตอนเค้าทำรายการให้ก็ลืมถ่ายรูปเนอะ โก๊ะจริงๆ) ขึ้นรถได้นาทีนิดๆ รถก็ออกแล้ว หอบกันเลยทีเดียว ลุ้นชิบ = =" ใครอยากดูรูปด้านในรถก็ดูเองที่เว็บของ Keisei Skyliner นะ ฮ่าๆ ตารางเวลาก็ดูที่ในเว็บแหล่ะ มาดูด้านในรถที่จขบ.ถ่ายมาบ้างดีกว่า ที่เก็บกระเป๋าสัมภารก เอ๊ย สัมภาระ

จอบอกรายละเอียดต่างๆ นั่งซะไกลเลยชั้น

มาดูตั๋วรถไฟกันบ้างดีกว่า โฮๆๆ เจาะรูแล้วอ่า  เลิกสนเรื่องที่โดนเจาะมาอ่านรายละเอียดในตั๋วดีกว่า หลังลูกศรคือสถานีปลายทาง (มีภาษาอังกฤษนี่นา งั้นอ่านเอาเองเนอะ ฮ่าๆ) วันที่ 27.9.2011 เวลารถออกจากนาริตะเทอร์มินัล 1 14.59 น. (ออกตรงเวลานะ) ถึงอุเอโนะเวลา 15.44 น. เที่ยวรถที่ 026 ตู้ที่ 06 ที่นั่งที่ 10A (ดูด้านล่างๆ จขบ.ซื้อตั๋วตอน 14.50 น.นะคะ ห้าวมาก มีเวลาในการหอบของ พาแม่วิ่งมาที่รถไม่ถึง 9 นาที)

มาดูเรื่อยเปื่อยในรถต่อดีกว่า ต้องถ่ายมาเยอะๆ หน่อย เพราะคาดว่าจะได้นั่งแค่ครั้งเดียว ครั้งต่อไปคงนั่งแบบราคาถูกแล้วแหล่ะ (ครั้งนี้จ่ายเพื่อแม่ ฮ่าๆ) รถใช้เวลาวิ่ง 44 นาทีถึงอุเอโนะ เร็วกว่ารถไฟหวานเย็นเกือบเท่าตัว เพราะแบบนั้นใช้เวลาประมาณ 85 นาที (แต่แพงกว่าเกินเท่าตัวอะ)

 
 

เห็นโตเกียวสกายทรีลิบๆ แล้ว ใกล้ถึงอุเอโนะแหล่ะ
 
 

พอถึงอุเอโนะแล้ว ต้องเดินจากสถานีรถไฟเคย์เซย์อุเอโนะ ไปสถานีรถไฟ้ใต้ดินเมโทรอุเอโนะ เดินได้ทั้งบนดิน และทางเชื่อมใต้ดินนะ (ข้างบนคนเยอะ รถเยอะ ข้ามถนนอีก ลากเป๋าเดินสบายๆ ที่ทางเชื่อมด้านล่างดีกว่า)

พอถึงสถานีเมโทรอุเอโนะ เราก็ใช้บัตรเมโทร 2 วันได้เลย *ข้อกำหนดในการใช้บัตรเมโทร 2 วันคือ ต้องใช้ 2 วันติดกัน วันที่สองใช้ได้ถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น*  ไปลงที่สถานีทาวารามาจิ (ถ้าคุณเคยอ่าน Japan1 จะรู้ว่าเราลงสถานีเดียวกัน ถ้ายังไม่เคยอ่าน จะไม่ลองอ่านดูหน่อยเหรอ ทำตาปิ๊งๆ) เข้าที่พักกันดีกว่าบริเวณฟร้อนท์ มีที่จิ๊ดเดียวเอง

เห็นรูปที่พักก็น่าจะรู้เนอะว่าพักที่เดียวกับครั้งแรก ฮ่าๆ พอเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ก็รีบไปชินจูกุทันที วิธีไปนะเหรอ Japan1 #3 มีบอกไว้แล้ว (ง่ายๆ จขบ.ขี้เกียจพิมพ์นั่นเอง ฮ่าๆ) ที่รีบไปเพื่อว่าจะซื้อตั๋ว Hakone Free Pass ของ Odakyu เนื่องจากที่ขายตั๋วสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเปิดถึงแค่ 6 โมงเย็น แต่วันรุ่งขึ้นก็จะไปแล้ว เลยต้องรีบ มาดูตั๋วกันดีกว่า เป็นตั๋วสำหรับนั่งรถไฟสาย Odakyu (ตัวสถานีอยู่แถวที่ซื้อแหล่ะ) ไป-กลับ Shijuku >> Hakone-Yumoto และนั่ง Hakone Tozan Train ไปลงที่สถานี Gora แล้วต่อด้วย Hakone Tozan Cablecar ไปลงที่ Sounzan ต่อด้วยกระเช้า Hakone Ropeway ไปลงที่จุดมุ่งหมาย Odawara หลังจากนั้นก็นั่งกระเช้าต่อไปลงที่ Togendai-ko เพื่อนั่งเรือ Hakone Sightseeing Cruise ขึ้นจากเรือก็นั่งรถบัสกลับ Hakone Tozan Bus กลับสถานี Hakone-Yomoto ค่ารถไฟทั้งหมดราคา 5000 เยนต่อคน แต่เดี๋ยวก่อน เรามีโปร เอ๊ยไม่ใช่ ด้วยความที่ฮาโกเน่อยู่ไกลจากโตเกียวมาก ขาไปจะรีบทำเวลา เลยจองตั๋วรถด่วนไป แน่นอนเสียเงินเพิ่มอีกคนละ 870 เยน ใช้เวลาเดินทางด้วยรถด่วนประมาณ 85 นาที (มั้ง) ขนาดด่วนยังนานเลยอะ แต่ถ้าไปบอกเค้าว่ารถด่วนแน่นอนเค้าไม่มีขาย เพราะจริงๆ แล้วเค้ามีชื่อเรียกเฉพาะนั่นคือ Romancecar ต้องระบุที่นั่ง (แบบสกายไลน์เนอร์เลยอะ) หน้าตาตั๋วทั้งหมด จิ้มจิ๊กๆดูรายละเอียดจากเว็บ Odakyu และ Romancecar

เวลาใช้งานให้ใช้เฉพาะใบนี้นะ ใบบนเอาไว้ดูว่านั่งตรงไหนแค่นั้นอะ (ไอ้เราก็นึกว่าขาไปใช้ใบบน ใส่เข้าเครื่องไม่เปิดประตูให้ซะงั้น 555 ฉลาดเนอะ)
 
 
 
 

ซื้อเรียบร้อยก็ออกมาดูวิวชินจูกุยามเย็น ยังไม่หกโมงเลยน้า แสงหายไปไหนแล้วอะ
 
 

ก่อนขึ้นรถกลับขอน้ำหน่อยเถอะ ใกล้ขาดน้ำตายแล้ว ตั้งแต่ลงจากเครื่องก็พูดไม่หยุด (ถามทางทั้งนั้น) เติมน้ำเข้าร่างกายด้วยน้ำแร่คุณภาพจากยอดฟูจิ (เวอร์ซะ แต่ของจริงนะ ฮ่าๆ)

ยังไม่ 6 โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว กลับที่พักดีกว่า เหมือนว่าในรถตอนมาชินจูกุ อาเฮียอาราชิจะโฆษณาชาเขียวอยู่นี่นา เปลี่ยนเร็วจัง

ระหว่างกลับของแวะวัดเซ็นโซจิหน่อยแล้วกันนะ เดินไปเซ็นโซจิก็เจอแก๊งค์นี้เข้า AKB48 ป้ายอะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ออก ถ่ายรูปมาอย่างเดียวแล้วกัน
 

ร้านนี้น่าเข้ามากๆ แต่ถ้าเข้าไปคงหมดตัวตั้งแต่วันแรกแน่นอน (สรุปจนวันกลับก็ไม่ได้เข้า ฮ่าๆ)

ขณะนี้เวลา 18.xx น. เย้ย 6 โมงนิดๆ เองนะ มืดตื้อเลยอะ ร้านค้าปิดหมด ไม่แน่ใจว่าเค้าปิดเร็ว หรือเพราะช่วงประหยัดพลังงานของคนญี่ปุ่น ยังดีที่ในวัดยังสว่างหน่อย
 
 
 

จากในวัดมองเห็นโตเกียวสกายทรียามเย็น(?) ด้วย เปิดไฟน้อยมาก ถ่ายมามองแทบไม่รู้เรื่องว่าเป็นอะไร

ร้านนี้ขายอะไรไม่รู้ รู้แต่ชื่อร้านคันจิสองตัวนั้น มีหนึ่งตัวเป็นชื่อจีนของจขบ. เห็นแล้วอดไม่ได้ ต้องถ่ายรูปมาซักแชะ ฮ่าๆ

หลังจากนั้นก็ไปรับประทานอาหารเย็นกันเถอะ ข่าวว่าไม่ได้กินมื้อกลางวัน เพราะบนเครื่องแจกขนมปังให้กิน (หิวอะ) ได้ร้านอาหารสุดอร่อยราคาประหยัด และอิ่มท้อง นี่ชามเล็กนะ แล้วชามกลางกับชามใหญ่แหล่ะ เยอะแน่ๆ (ไม่ใช่ไทยที่เพิ่มแต่ขนาดชามนะ ฮ่าๆ) เซ็ตนี้ 390 เยน

ชื่อร้าน อ่านไม่ออก แต่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ใครสนใจถามได้ จะทำแผนที่ให้ ไปง่ายมาก ไม่มีหลงทางแน่นอน

อิ่มแล้วก็กลับห้องนอนเอาแรงดีกว่า วันรุ่งขึ้นจองรถไว้รอบ 7.28 ต้องออกจากที่พัก 6 โมง เผื่อหลงในชินจูกุด้วย ที่นอนสภาพเรียบร้อยเชียว (ก่อนนอนนี่นา)

ดูทีวีก่อนนอนซักหน่อย ฟังไม่ออกแต่อิจฉา ทีวีบ้านเค้าชัดเวอร์อะ อยากให้บ้านเราทีวีชัดๆ แบบนี้บ้างจัง

จบวันแรกจนได้ เอนทรี่นี้เขียนตั้งแต่ 5 โมงเย็น มาเสร็จเอาตอนจะสามทุ่ม (เพราะจขบ.ตั้งใจเขียนมากค่ะ << จริงๆ มั่วแต่เล่นเปิดค้างไว้ต่างหาก อย่ามาทำให้ตัวเองดูดี) เจอกันเอนทรี่หน้ากับฮาโกเน่

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะ เขียนได้น่าอ่านมาก และเป็นเพจแรกที่สร้างความมั่นใจว่าเมื่อลงจากรถไฟที่มาจากนาริตะแล้วจะลากกระเป๋าไปต่อสายอื่นได้ยังไง สบายใจแล้วค่ะ :)

    ตอบลบ