วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

Japan1 #2

เช้าวันแรกในญี่ปุ่น ตื่น 6 โมงเช้า อากาศสดชื่น รีบอาบน้ำด้วยความเร็วแสง (หนาวอะ ทั้งๆ ที่เดือนพ.ค. แต่เป็นคนขี้หนาว 17-18 องศานี่หนาวแล้ว +.+)
ไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนเลย ที่พักก็อยู่ใกล้วัดแล้วทั้งที แต่คงออกมาเช้าเกินไปหน่อย (ประมาณ 7 โมง) ร้านค้ายังไม่เปิดเลย แต่คนไทยสองคนหรือจะแคร์ ไม่เปิดก็เดิน แวะชอปปิ้งแรกด้วยการซื้อเสื้อแจ็กเก็ตกันลมของน้องก่อนเลย ราคาไม่แพง คุณลุงเจ้าของร้านบริการดี๊ดี มาช่วยดูช่วยใส่เสื้อด้วย ทั้งๆ ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง (แต่แกก็แอบขอลดราคา ฮ่าๆๆ คุณลุงส่ายหน้าอย่างเดียว หรือลุงจะฟังออก 55)
นอกจากร้านของคุณลุงแล้ว ร้านอื่นๆ ยังไม่เปิดกันเลย เปิดร้านกันสาย หรือเราไปเช้าเกินเนี่ย (อืมนั่นสิ) แต่เพราะร้านค้ายังไม่เปิด เลยได้เห็นบรรยากาศแบบนี้
ขอเติมก่อนแล้วค่อยมาหยอดเหรียญซื้อกันนะ

ประตูหน้าร้านค้า วาดเป็นเรื่องราวได้สวยมากๆ

ห๊าดูไม่รู้เรื่องเหรอ งั้นรูปนี้เลยแล้วกันนะ รวมมิตรประตูร้านค้า 55

ป้ายบอกทางตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ก่อนถึงวัดเซ็นโซจิ (เค้ากลัวหลงทางหลังจากออกจากห้องน้ำใช่มั๊ยอะ)

งานเทศกาล วันเด็กผู้ชาย มีธงปลาคาร์พด้วย มีออกร้านด้วย แต่เช้าเกิน ยังไม่เปิด แหะแหะ

บรรยากาศรอบวัดเซ็นโซจิยามเช้า มีเด็กเล็กๆ มาเดินเล่น น่ารักจังน้า

เอิ่ม...เรียกว่าอะไรนะ เรียกไม่ถูก แต่เห็นมีตามเว็บที่แนะนำวัดเซ็นโซจิ เลยถ่ายเก็บไว้บ้าง

เค้าถ่ายโคมแดงกัน แต่เราแนวค่ะ ถ่ายรูปใต้โคมแดง และโคมดำ ^ ^

ก่อนเข้าไปไหว้ด้านใน ต้องล้างมือก่อนนะ

เพราะช่วงที่ไป ทางวัดปิดซ่อมด้านนอกอยู่ แต่ก็มีจอให้เห็นว่าทำไปถึงไหนแล้ว ไฮโซสุดๆ อะ

ราคาเครื่องรางแบบต่างๆ โอ้ว...แพงจัง จนๆ อย่างเราได้แต่ดูสินะ

ไฮไลท์ของวัดนี้ เจ้าแม่กวนอิมแต่ถ่ายตรงๆ แล้วสะท้อนแฟลช เลยเอาภาพด้านข้างมาแทน (จขบ.ถ่ายรูปไม่เป็นค่ะ ได้แค่กดชัตเตอร์แค่นั้น 555)

ออกจากวัดมาก็เจอป้ายนี้ 7 เทพ ข้ามทะเล (ใช่มั๊ยหว่า)

โคมและร้านค้าเต็มไปหมดเลย งานเทศกาล เย้ๆ (แต่ยังไม่เปิดร้าน)

ปกติเค้าจะเดินจากด้านหน้าวัดเข้าไปด้านใน แต่เราแนวค่ะ เข้าจากด้านข้างแล้วเดินออกจากด้านหน้า ทำให้รูปร้านค้ามาทีหลัง ฮ่าๆ

ซอยข้างๆ คนไม่ค่อยมี และร้านก็ยังไม่เปิด ฮ่าๆๆ

มองเห็นโคมแดงอันใหญ่ที่สุดปลายทางเดินแล้ว

ร้านค้าใกล้ทางเข้า (หรือทางออกของเรา) เริ่มเปิดแล้ว

โคมแดง อย่างที่บอกเดินจากด้านใน รูปแรกที่ได้ก็ต้องเป็นด้านหลังก่อนอยู่แล้ว

เอาด้านหน้าไปดูบ้าง แหมมุมสุดฮิตในการถ่ายรูปจริงๆ คนต่อคิวถ่ายรูปกันพอควร ขนาดเช้าๆ นะเนี่ย

ต้นเอิ่ม...ต้นหลิว?? หรือต้นไม้อะไรซักต้นที่อยู่ด้านข้างวัด (ความรู้ด้านต้นไม้ติดลบ ฮ่าๆ)

เดินเสร็จก็หิวมาก ใช้พลังงานไปเยอะ และตั้งแต่ตื่นก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย เจอร้านแนะนำ เลยต้องแวะซักหน่อย

เพราะไม่กินเนื้อ เลยได้เมนูข้าวหน้าหมู ราคา 330 เยน คุ้มมากๆ กับ 1 อิ่ม ท่าทางจะหิวจัด เกลี้ยงชามเลย

ระหว่างเดินกลับที่พักเพื่อรอเพื่อนมาพบ เจอล็อคเกอร์แผนที่ เค้าคงกลัวนักท่องเที่ยวหลง 55

ซอยเข้าที่พัก ข้ามถนนเดินตรงเข้าซอยข้างร้านเคบับ (เขียนถูกเปล่าหว่า) ตรงร้านแดงๆ นั่นแหล่ะ

โหย แค่เช้านะเนี่ย ยังไม่ 9 โมงเลย เขียนซะยาวขนาดนี้ ขอตัดเป็น 2 พาร์ทแล้วกันนะ จริงๆ เขียนไม่เยอะ โม้ไม่มาก แต่เอารูปลงซะเยอะ ถือคติว่าบรรยายยังไงก็ไม่เท่ากับเห็นรูป เอารูปแปะซะเลย ฮ่าๆๆๆ

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

Japan1 #1

เปิดด้วยทริปต่างประเทศ ทริปแรกจากประเทศญี่ปุ่น
วันที่ 1-9 พ.ค. 2553
จองตั๋วเครื่องบินของChina Airline ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ไต้หวัน เครื่องออก 8.25 น. แต่ด้วยความเห่อ+กลัวตกเครื่อง  ออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4 กันเลยทีเดียว แทบไม่ได้นอน เพราะต้องจัดออเดอร์ของที่ฝากซื้อกัน งีบเอาแรง 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นมาอาบน้ำเตรียมตัวเดินทาง ประมาณตี 5 ก็เดินทางถึงสนามบินเรีบบร้อย รอเวลาเช็คอินซักแปป
ช่วง 6 โมงนิดๆ ก็ต่อแถมเพื่อผ่านตม. 7 โมงก็เข้าไปเดินเล่นชิวๆ ในดิวตี้ฟรีแล้ว

เวลาเหลือเยอะมาก เดินเล่นจนทั่วกันเลย ไม่มีอารมณ์ดูของมาก (ไม่ใช่ตื่นเต้น แต่ง่วงนอนมากๆ) ก็เลยเดินไปที่เกจเพื่อเตรียมขึ้นเครื่องกันเลย ด้วยเที่ยวบิน CI066 ถึงไต้หวันเวลา 13.00 น. (เวลาไต้หวัน เร็วกว่าไทย 1ชั่วโมง) ต่อเครื่องไปญี่ปุ่นด้วยเที่ยวบิน CI018 ออกเวลา 14.50 น.ถึงนาริตะเวลา 18.35 น. (เวลาญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง)

บอร์ดดิ้งพาสจากไทเปไปโตเกียว ของไทยไปไต้หวันไม่ได้ถ่ายแบบเต็มๆ มา

ภายในเครื่องบิน ตอนนี้ว่างจัดแล้วเลยถ่ายไปเรื่อย รอกินข้าวก่อนที่จะหลับ

ถึงสนามบินไทเปแล้ว ต้องเดินจากเทอร์มินัล 2 ไปเทอร์มินัล 1 เพื่อเปลี่ยนเครื่อง มีเวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ในการเปลี่ยนเครื่อง เดินเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน แวะเข้าห้องน้ำ แวะร้านขายซีดี รวมแล้วประมาณ 20 นาทีกว่าๆ ก็ถึงเกจรอขึ้นเครื่องต่อ

ที่ไทเปก็มีควายนะคะ สีสวยกว่าควายไทยอีก 555

นั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง มีเวลาเหลือถ่ายรูปไปเรื่อยเลย

ถึงแล้วญี่ปุ่น ครั้งแรกนั่งฝั่งซ้ายของเครื่องแล้ว แต่มองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิ เพราะไม่รู้ตำแหน่งมองหาไม่เจอ T^T
ถ้าจะมองหาฟูจิซัง ต้องมองก่อนถึงนาริตะประมาณครึ่งชั่วโมงมั้งนะ ถ้าในเครื่องมีแผนที่ให้ดูก็ดูช่วงที่เครื่องบินยังไม่เข้าใกล้โตเกียว ยังไม่เข้าตรงอ่าวโตเกียวอะ (งงมั๊ย เอาเป็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ จะถึงก็มองๆ ทางซ้ายแล้วกัน ฮ่าๆๆๆ)

ถึงนาริตะแล้วก็ต้องเดินหาสถานที่ขายตั๋วโตเกียวเมโทรก่อน เพื่อซื้อตั๋วโตเกียวเมโทรสำหรับ 2 วัน ราคา 980 เยน เฉลี่ยตกวันละ 490 เยน ถ้าซื้อแบบ 1 Day pass ราคา 600 เยน (มีขายเฉพาะที่นาริตะเท่านั้น) ถ้าซื้อด้านนอกจะไม่มีแบบ 2 วัน และแบบ 1 วันจะขาย 710 เยน  (ข้อแม้ของบัตร 2 วันคือ ต้องใช้ติดต่อกัน 2 วัน นับเที่ยงคืนวันที่ 2 หมดเวลาการใช้งาน)

หลังจากซื้อเสร็จก็เดินทางเข้าโตเกียวด้วยรถไฟ Keisei Limited Express ราคา 1000 เยน (แบบอื่นราคาแพง ประหยัดๆ) ลงที่สถานีรถไฟ Keisei Ueno เดินต่ออีกด้วยระยะทาง...ไกลพอควรอะ แต่เราเดินตรงทางเชื่อมใต้ดิน เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดิน Metro Ginza Line ที่สถานี Metro Ueno (ทำไมไม่ทำไว้ใกล้ๆ กันอะ) ขึ้นรถไฟใต้ดินเมโทรไปอีก 2 สถานี เพื่อไปที่สถานี Tawaramachi ออกประตู 3 เดินต่ออีก (แบกกระเป๋าขึ้นบันไดกันหอบเลยอะ) เพื่อไปยังที่พัก Asakusa Ryokan Toukaisou ประมาณ 5 นาที (แต่รู้สึกว่านานกว่านั้น คงเพราะมีกระเป๋า เหนื่อย หิว กระหาย) ระหว่างทางมีหลงทิศเล็กน้อย แต่ก็มีคุณป้ามาช่วยบอกทาง และคุณลุงนำทางต่อให้ และแล้วก็ถึงที่พักจนได้  รูปภายในห้องหลังจากรื้อของแล้ว

ด้วยความหิว เมื่อเช็คอินเสร็จแล้ว ก็ออกไปหาอะไรใส่ท้อง ตรงย่าน Asakusa หรือวัดเซ็นโซจิ (วัดอาซาคุสะที่คนไทยรู้จักกัน) ตอนออกจากที่พัก ไม่ได้ใส่เสื้อกันลมออกมา เดินมาถึงถนนใหญ่ ลมแรงมาก สามทุ่มกว่าแล้วนี่นา แต่ขี้เกียจเดินกลับ เลยทนเดินต่อไป ฮ่าๆ ได้ราเมนมาชาม ตอนร้อนๆ ก็อร่อยดี แต่แปปเดียวก็เย็น พอเย็นแล้วมันเลี่ยนๆ กินไม่หมด = ="

หลักจากอิ่มท้องแล้วก็เดินไปดูของในซุปเปอร์ที่เปิด 24 ชั่วโมงในตึก ROX ที่อยู่ใกล้ๆ แต่วันแรกเหนื่อย เลยไม่ได้ซื้ออะไร กลับที่พักนอนดีกว่า


จบวันแรกจนได้ ฮ่าๆๆ  จขบ.อู้ได้อู้ดี
ปล.เส้นทางการเดินทางจากนาริตะไปอุเอโนะใช้อ้างอิงไม่ได้แล้วนะ เพราะตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปบางส่วนแล้ว ไม่มาก แต่อาจจะงงถ้ายึดตามนี้ รออ่านทริปไปญี่ปุ่นรอบ 2 ของเดือนธันวา แล้วกัน (แต่ไม่รู้จะเริ่มเขียนเมื่อไหร่ ขนาดทริป 1 ยังดองเลย ฮ่าๆ)