วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เตรียมตัวก่อนไปญี่ปุ่น

คงแปลกใจว่าอยู่ดีๆ เอนทรี่นี้โผล่มาแบบทะลุกลางปล้องเลยสินะ ทั้งๆ ทีเราไปญี่ปุ่นกันมาแล้ว เอนทรี่นี้น่าจะมาก่อนเอนทรี่อื่นๆ ด้วยซ้ำ เรื่องมันมีอยู่ว่า...ลืม... แค่นี้จริงๆ ตอนแรกก็กะว่าปล่อยเลยตามเลย แต่ปลายเดือนหน้า จขบ.จะไปญี่ปุ่นอีกรอบ เลยคิดว่าไหนๆ เราก็ต้องเตรียมข้อมูล มาเริ่มลำดับการเตรียมตัวเลยดีกว่า...เอวังด้วยประการฉะนี้แล

ขั้นตอนการเตรียมตัวไปญี่ปุ่น
1. เตรียมพาสปอร์ตให้เรียบร้อย
2. เตรียมเอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่า และขอวีซ่า
3. ทำแผนการท่องเที่ยว และกำหนดงบประมาณ
4. หาตั๋วเครื่องบิน
5. หาที่พักในระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น
6. ทำแผนการเดินทางโดยละเอียด ศึกษาเส้นทางการเดินทาง

พอเตรียมทั้งหมดเรียบร้อย เท่ากับว่าเราพร้อมที่จะไปแล้ว

เริ่มกันเลยดีกว่า

1. เตรียมพาสปอร์ต
ขั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ใครที่ยังไม่มีพาสปอร์ตก็ไปขอกันได้เลย สำหรับ จขบ.ไปขอที่สำนักงานหนังสือเดินทาง สาขาเซ็นทรัลบางนา ถ้าวันที่ไปคนเยอะก็รอกันนานหน่อย ถ้าคนน้อยก็เร็ว เวลาเฉลี่ยน่าจะประมาณ 1.30 ชั่วโมง เอกสารที่ต้องเตรียมไปมีบัตรประชาชนใบเดียว ยกเว้นคนที่เล่มเดิมหมดอายุ ก็พกเล่มเดิมไปด้วย
สำหรับคนที่พาสปอร์ตใกล้หมดอายุก็ดูวันให้ดีๆ อย่าให้หมดก่อนไปนะ โดยมากเค้าแนะนำว่าต้องมีอายุเกิน 6 เดือนขึ้นไป แต่ทางสถานทูตญี่ปุ่นไม่ได้กำหนดอายุพาสปอร์ต ขอแค่ไม่หมดอายุระหว่างเดินทางเป็นพอ ก็แล้วแต่คนแล้วกันนะ ว่าจะขอหรือไม่ขอใหม่

เมื่อไปถึงก็เข้าไปรับบัตรคิวได้เลย เจ้าหน้าที่จะถามว่าจะรับเองหรือส่งไปรษณีย์ ถ้ารับเองจะได้มา 2 ใบ ถ้าไปรษณีย์ได้จะ 3 ใบ ใบแรกเป็นใบที่ให้กรอกชื่อ ส่วนสูง(ที่เจ้าหน้าที่วัดให้) ใบที่สองเป็นบัตรคิว ส่วนใบที่สามเป็นรายละเอียดสำหรับส่งพาสปอร์ตให้ทางไปรษณีย์ คิวเรียกถึง 424 แล้ว (ไปถึงตั้งแต่คิวที่สามร้อยกว่าๆ)

บัตรคิวที่ได้ 517 ทำมั๊ยคนเยอะขนาดนี้ (ไปทำเล่มใหม่ เลยต้องพกเล่มเก่าไปด้วย) ที่เห็นสองเล่มในรูปคือของแม่ด้วยนะ  กระดาษใบเล็กคือ ใบที่กรอกส่วนสูง ใบใหญ่คือรายละเอียดที่ส่งทางไปรษณีย์ ส่วนใบแรกสุดไม่ต้องบอกหรอกเนอะ ^ ^

หลังจากโดนเรียกไปสอบประวัติ และถ่ายรูปเรียบร้อย ก็ออกมาชำระเงินจำนวน 1000 บาทถ้วน แต่ถ้าส่งไปรษณีย์ต้องมีค่าส่งอีก 35 บาทนะคะ ใบเสร็จโยนไว้ไหนแล้วไม่รู้ ฮ่าๆ รอ 3 วันไปรับเล่ม หรือรอ 1 อาทิตย์ก็ได้รับเล่มทางไปรษณีย์ส่งให้ถึงบ้าน


2. เตรียมเอกสารและขอวีซ่าญี่ปุ่น
สำหรับประเทศญี่ปุ่น ถ้าเอกสารครบก็ไปได้ง่ายมากๆ เอกสารที่ต้องใช้สำหรับผู้ที่ไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อนเลย ต้องเตรียมตามนี้
- ใบคำร้องขอวีซ่า ขอได้ที่สถานฑูตญี่ปุ่น หรือดาว์นโหลดได้จากเว็บไซต์ หรือคลิกที่นี่ (แล้วแกจะบอกตอนแรกทำไม ก็ให้อยู่แล้ว ฮ่าๆ) วิธีกรอกใบคำร้องก็ตามนี้เลย ในข้อ 12 ส่วนที่เป็นดอกจันสำหรับผู้ที่มีคนอุปการะเท่านั้น คือผู้ที่ไม่มีงานประจำ (แม่บ้าน) นักเรียน นักศึกษา โดยให้กรอกชื่อ ตำแหน่งงาน ชื่อที่ทำงาน ของผู้ออกเงินให้  สำหรับข้อ 19 แม้จะเขียนว่าลงชื่อสำหรับผู้กรอกใบคำร้อง แม้ว่าเราจะกรอกให้คนอื่นแต่เราก็ต้องใส่ชื่อเค้าไปนะเออ สำหรับข้อสายการบินและที่พัก เลือกสายการบินมาเถอะซักที่ที่บินไปญี่ปุ่น (ใส่ TG ไปเลย) ที่พักก็ขอหน้าเชื่อถือนิดนึง จริงไม่จริงเค้าไม่ตรวจสอบจ้า
- รูป ต้องใช้รูปพื้นหลังสีอ่อน หน้าตรง ขนาด 2x2 นิ้วเท่านั้น ไม่ใช่ขนาด 2 นิ้วนะ บางคนทักว่าของญี่ปุ่นต้องพื้นขาว พื้นฟ้าไม่ได้ จริงๆ คือพื้นหลังสีอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นสีอ่อน และไม่มีลวดลาย ที่สำคัญห้ามแต่งภาพ (ข้าพเจ้าถ่ายรูปเอง แต่งให้ได้ขนาด เอาไปร้านรูปให้เค้าล้างให้ออกมา 2x2 แป๊ะ พื้นหลังสีออกเทาอ่อน ก็ผ่านมาด้วยดี)
- แบบสอบถามเพื่อการขอวีซ่า เป็นการป้องกันการค้ามนุษย์ จะมีถามเรื่องยาเสพติด ต้องคดี สงสัยว่าถูกหลอกหรือเปล่า บลาๆๆ ก็ติ๊กไปตามนั้น แบบสอบถามก็คลิกที่นี่เลย

มาต่อที่เอกสารที่เราต้องใช้ประกอบการขอวีซ่า (กรณีเพื่อการท่องเที่ยวและวีซ่าญี่ปุ่นอย่างเดียวนะเคอะ วีซ่าประเทศอื่น จขบ. ยังมิเคยขอ ไม่สามารถ)
เอกสารทั้งหมดที่ต้องใช้ดูประกอบได้จากลิงค์นี้จ้า หรือจะดูแบบแยกทั้งหมดก็ได้นะ เผื่ออยากเห็นหน้าตาเว็บกงสุล ก็ตามนี้เลย

- สำเนาทะเบียนบ้านหน้าที่มีชื่อผู้ขอวีซ่า และตัวจริง
- เอกสารแสดงการทำงาน  (ใช้ตัวจริงทั้งหมด)
  • สำหรับพนักงาน หนังสือรับรองการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ ที่มีข้อมูลวันเริ่มงาน จำนวนวันลาพักร้อน และจำนวนเงินเพือนปัจจุบัน
  • สำหรับเจ้าของกิจการ (จดทะเบียน) หนังสือรับรองนิติบุคคล หรือทะเบียนพาณิชย์ (กรณีทะเบียนพาณิชย์ ใช้สำเนาและตัวจริง เพราะทะเบียนพาณิชย์รู้สึกว่าจะขอไม่ได้เหมือนหนังสือรับรองนิติบุคคลนะ หรือเปล่าไม่ชัวร์ แต่จขบ.ก็ใช้สำเนานะ แล้วถ่ายรูปคนขอตอนอยู่ในร้านแนบไปด้วย)
  • กรณีนักเรียน ใช้หนังสือรับรองการศึกษา ภาษาอังกฤษ และหลักฐานตามสองข้อบนของผู้อุปการะ
  • กรณีแม่บ้าน หรือผู้ที่ไม่ได้ทำงาน ใช้หลักฐานตามสองข้อบนของผู้อุปการะ (แต่จขบ.เพิ่มหนังสือยืนยันความสัมพันธ์ของคนจ่ายเงินกับคนไปเพิ่มด้วย อย่างเป็นแม่-ลูก พี่-น้อง)
- เอกสารการเปลี่ยนชื่อตัว-ชื่อสกุล ทั้งตัวจริงและสำเนา
- สมุดบัญชีเงินฝากของผู้ขอ หรือผู้จ่ายเงิน ตัวจริงและสำเนา โดยสำเนาต้องถ่ายเอกสารทุกหน้า (แม้จะเป็นหน้าว่างก็ตาม) มีการปรับสมุดสม่ำเสมอ อย่างน้อยๆ ก็ 6 เดือนติดต่อกัน (ถ้าในเล่มมีย้อนหลังไม่ถึง 6 เดือนก็เอาเล่มเก่าติดไปด้วยให้ครบ 6 เดือน) ถ้าไม่มีการปรับสมุดเลย ให้ขอรายการที่ธนาคารหรือพิมพ์จากอินเตอร์เน็ตก็ได้ แต่ต้องมีชื่อเจ้าของบัญชี และเลขบัญชีชัดเจน พร้อมสมุดธนาคารและสำเนาที่มีการปรับล่าสุดด้วย (น้องจขบ.เปลี่ยนเล่มใหม่ มีย้อนหลังสามเดือน ก็ผ่านมานะ อีกครั้งยื่นให้แม่ก็มีย้อนหลังห้าเดือนนิดๆ) จำนวนเงินในสมุด ถามว่าสำคัญมั๊ย คำตอบคือสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำยอดเงินให้เวอร์ ขอแค่มีเงินหมุนเข้าออก ซักประมาณ 3-4 หมื่นบาทก็พอ (สำหรับรับรอง 1 คนนะ) ไม่จำเป็นต้องเอาเข้าเป็นหมื่นๆ เพื่อให้มีถึงแสน นั่นจะน่าสงสัยเกินไปอีก ฮ่าๆ

เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ก็ตามนี้ แต่ถ้าจะเตรียมแผนการเดินทาง หรือหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบินก็ตามสบายนะ แต่เค้าไม่เอาอะ

สำหรับสถานที่ในการยื่น ที่ภาคตะวันออกก็ยื่นที่ไปรษณีย์ศรีราชา (แถวๆ เกาะลอยที่สะพานข้ามหักนั่นแหล่ะ) ส่วนที่กรุงเทพอาคารอะไรซักอย่าง ดูเอาเองตามนี้เลย

ค่าวีซ่าจ่ายเลย จำนวน 1100 บาท (นักศึกษาระดับอุดมศึกษาไม่เสียค่าวีซ่า) แล้วก็จะมีค่าบริการของสำนักงานตัวแทนอีก 535 บาท ได้ใบเสร็จมาก็รอไปเลย 1 อาทิตย์ เล่มพาสปอร์ตก็จะถูกส่งคืนมาที่บ้าน ถ้าไม่ผ่านแหล่ะ เราก็จะได้พาสปอร์ตคืนมาแบบหน้าขาวๆ เหมือนเดิม และเงินอีก 1100 บาท

สำหรับกรุงเทพต้องไปรับเล่มเองที่เดิม แต่ถ้าอยากให้เค้าส่งให้ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก บางคนบอกว่า 100 บาท แต่จขบ. ไม่ได้อยู่กรุงเทพเลยไม่รู้ ต่างจังหวัดไม่เสียเพิ่มแล้วนี่นา

*คำเตือน วีซ่ามีอายุ 3 เดือน หมายถึง หลังจากที่สถานฑูตอนุมัติแล้ว ต้องใช้เดินทางภายใน 3 เดือนเท่านั้น ถ้าเกินก็ต้องขอใหม่ แต่ถ้าเราเข้าประเทศซักวันที่ 90 พอดี ไม่เป็นไร ฮ่าๆ สำหรับอายุวีซ่าในการอยู่ที่ญี่ปุ่น จะมีบอกอยู่ที่หน้าวีซ่าแล้ว เท่าที่เคยเจอก็คือ 15 วัน และ 90 วัน เท่าที่รู้มี 30 วัน กับ 45 วันด้วย แต่ยังไม่เคยเจอ



3. ทำแผนการท่องเที่ยว และกำหนดงบประมาณ
ข้อนี้ไม่มีอะไรยาก เพราะแค่กำหนดว่าเราอยากไปที่ไหน (จริงๆ คิดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนขอวีซ่าจะดีมากๆ) จะได้กำหนดรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่าจะไปเมื่อไหร่ วันไหน ถึงวันไหน ไปที่ไหนบ้าง เพื่อใช้ในการจองตั๋วเครื่องบิน และที่พัก ส่วนลงรายละเอียดไว้ทีหลังได้ เมื่อเราได้สถานที่ที่จะไปแล้ว ก็จะรู้ว่าควรลงที่สนามบินไหน นาริตะ หรือฮาเนดะ สำหรับโตเกียว คันไซสำหรับโอซาก้า สถานที่ท่องเที่ยงต่างๆ ก็จะมีค่าเข้าชมแตกต่างกันไป ต้องดูด้วยนะว่างบเราเยอะหรือน้อย ฮ่าๆ


4. หาตั๋วเครื่องบิน
เมื่อวีซ่าผ่านแล้ว กำหนดวันเดินทางได้แล้ว ก็จองตั๋วเครื่องบินกันเถอะ (บางคนอาจจองตั๋วก่อนวีซ่าถ้ามั่นใจเรื่องวีซ่าว่าผ่านแน่ๆ หรือมีตั๋วโปรที่ถูกมากๆ)
สายการบินที่บินไปญี่ปุ่นจากประเทศไทยมีหลายสายการบินมากๆ มีทั้งบินตรง และเปลี่ยนเครื่อง
- บินตรง ได้แก่ United (UA), Delta (DL), ANA, JAL, TG ราคาเริ่มที่ 17,xxx บาทขึ้นไป จนถึงหลักหมื่นหลักแสนกันเลย ราคาค่าโดยสารของยูไนเต็ดและเดลต้าจะถูกที่สุด อยู่ที่ 17,xxx บาท ส่วนเอเอ็นเอ เจเอแอล ทีจี จะเริ่มที่ 22,xxx บาทขึ้นไป (ถ้าต่ำกว่านี้คือมีการจัดโปรโมชั่น แต่มักไม่เหลือตั๋วแล้ว)
- เปลี่ยนเครื่อง คือมีการแวะหยุดซักประเทศ แล้วเราต้องรอเปลี่ยนเครื่องใหม่เพื่อเดินทางต่อ ระยะเวลาการหยุดพักต่ำสุดที่เจอประมาณ 50 นาที สูงสุดก็ 5-8 ชั่วโมงกันเลย ที่รอนานโดยมากมักถึงตอนกลางคืน แล้วต้องรอให้เช้าเพื่อเดินทางต่อ ได้แก่ China Eastern (MU) เปลี่ยนเครื่องที่ปักกิ่ง, Cathay Pacific (CX) เปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง,  China Airlines (CI) เปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน (เจ้าดอกบ๊วย),  Vietnam Airlines (VN) เปลี่ยนเครื่องที่เวียดนาม (เจ้าดอกบัว), Singapore Airlines (SQ) เปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ รวมถึงแอร์เอเซียด้วยนะ ราคาค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 16,xxx บาท (ถ้าโปรแอร์เอเซียถูกสุดประมาณ 8,000 บาท) จนถึงหลักแสนกันเลย (อย่าคิดว่าเปลี่ยนเครื่องราคาจะไม่ถึงนะ)
ข้อดีของการเปลี่ยนเครื่องคือ ได้กินข้าว 2 มื้อเต็มๆ ฮ่าๆ ถ้าบินตรงจะเป็น 1 มื้อและอาหารว่างแบบหนักท้องหน่อย และที่สำคัญได้พักเดินไปเดินมาป้องกันการเกิดโรคบนเครื่องบิน (นั่งนานเท้าบวมด้วยอะ T^T)


เลือกกันตามสบาย จองผ่านเอเจ้น หรือจองตรงกับสายการบินก็ได้ ลองเปลี่ยนเทียบราคาแต่ละเจ้ากันก่อน บางที่ก็ถูก บางที่ก็แพง และดูเงื่อนไขในการจ่ายเงินของแต่ละสายการบินดีๆ โทรถามจากสายการบินง่ายที่สุด

ที่นั่ง สำหรับการเดินทางไปโตเกียว ถ้าไปถึงเวลาเช้า (ยังมีแสง) มีข้อแนะนำว่าควรนั่งทางฝั่งซ้ายของเครื่องบินให้ตรงช่องหน้าต่าง เพราะก่อนเข้าโตเกียวประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้าอากาศดีจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ สำหรับที่นั่งตรงไหนติดปีกไม่ติดปีก ดูได้จากเว็บ seatguru ซึ่งจะมีบอกรายละเอียดของที่นั่ง จอทีวี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอยู่

ตัวอย่างจากสายการบินเดลต้า จะเห็นว่าเป็น Airbus A330-300

เราก็มาเลือกสายการบินเดลต้าจาก seatguru แล้วก็เลือกเครื่องบิน ตรงแถบสีเหลืองจะเป็นพรีเมี่ยมอีโค แถบฟ้าเป็นอิโค ไฮโซอย่างเรา อีโคก็หรูแล้ว ฮ่าๆ

พอคลิกแล้วหน้าตาด้านในเป็นแบบนี้ มีบอกขนาดที่นั่ง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เป็นรูปคลิอ่านรายละเอียดได้เลย รูปเครื่องบินจะบอกลักษณะการจัดแถว และตำแหยน่งของแต่ละแถว ของเดลต้าเครื่องจะเล็กหน่อยเลยจัดที่นั่งเป็น 2-4-2 บางสายใช้เครื่องโบอิ้ง 747 ขนาดเครื่องจะใหญ่กว่าหน่อยที่นั่งเลยเป็น 3-4-3 ก็เลือกเอาตามสะดวก

เมื่อจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ให้รีเควสไปเลยว่าต้องการนั่งที่นั่งไหน อาหารแบบไหน หลังจากจองแล้วโดยมากจะให้ e-ticket มา เราก็ปริ้นต์พกติดตัวไว้ในวันเดินทาง หลังจากจองแล้วภายใน 24 ชั่วโมง เค้ามีสิทธิยกเลิกไฟล์ทเราได้ เราป้องกันได้ด้วยเข้าไปเช็คจากเว็บ viewtrip แล้วกรอกเลข e-ticket หรือโทรถามจากสายการบินโดยตรงเลยก็ได้ (รีเควสที่นั่งและอาหารจากสายการบินโดยตรงก็ได้)


5. หาที่พักในระหว่างที่อยู่ญี่ปุ่น
ที่พักในญี่ปุ่นมีให้เลือกมากมาย
- ห้องรวม (Dorms) นอนรวมกันตั้งแต่ 4 คนขึ้นไปสูงสุดคือ 10 คน มีทั้งแยกชาย-หญิง และรวมทั้งชายและหญิง โดยมากห้องแบบนี้จะเป็นเตียงสองชั้น (ถ้าอยากนอนยาวๆ รวมกันหลายๆ คนแบบการ์ตูนญี่ปุ่น ต้องเป็นเรียงกังนะ แบบนี้ราคาถูกและประหยัดพื้นที่ไม่มีอะ) ขนาดพื้นที่วางเตียงแล้วก็เหลือที่ให้เดินและวางของประมาณ 1.7x1 เมตรได้ ก็คือพื้นที่ที่เหลือระหว่างวางเตียงนั่นแหล่ะ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ราคาต่อคนต่อคืนถูกสุดประมาณ 955 เยน (ไม่นอนรวม 10 คนก็ห่างจากแหล่งยอดฮิตพอควร) แต่ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2000 เยน (แถวอาซาคุสะ)
- ห้องส่วนตัว (Privates) ห้องแบบนี้จะมีหลายระดับ นอนได้ 1-2 คน ตั้งแต่ในโอสเทลธรรมดาจนโรงแรมหรูระดับห้าดาว มีทั้งแบบนอนฟูกแบบญี่ปุ่น และนอนเตียงแบบตะวัตก รวมถึงนอนที่โรงแรมแคปซูลด้วย ห้องน้ำมีทั้งรวมและส่วนตัว แล้วแต่โรงแรมจะจัดให้ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1495 เยน (อ่านรายละเอียดดีๆ) จนถึงเป็นหลักหมื่นเยน ราคาเฉลี่ยโดยมากจะอยู่ที่ 3500-4500 เยนต่อคนต่อคืน

การหาที่พักก็เลือกได้ตามเว็บโรงแรมทั่วไป จะรู้ได้ยังไงว่าโรงแรมไหนดีก็ลองหาจากรีวิวของคนอื่นๆ หรือเปิดเว็บของโรงแรมที่เราต้องการไปดูก็ได้ ซึ่งบางครั้งการจองผ่านโรงแรมก็ง่ายกว่าจองผ่านเอเจ้น

การจ่ายเงิน มีทั้งจ่ายเป็นเงินสดในวันเช็คอิน หรือจ่ายเป็นเครดิตการ์ด หรือตัดเงินบางส่วน ประมาณ 10% จากบัตรเครดิต แล้วแต่เงื่อนไข


6. ทำแผนการเดินทางโดยละเอียด ศึกษาเส้นทางการเดินทาง 
สุดท้ายแล้วก็คือศึกษาการเดินทางโดยละเอียด โดยเฉพาะคนที่ไม่เก่งญี่ปุ่น พูดอ่านญี่ปุ่นไม่ได้เลย ให้ศึกษาจากรีวิวคนอื่นๆ ต้องรู้ว่าจากสนามบินเราจะเดินทางเข้าโตเกียวไปที่พักยังไง จากที่พักไปที่ท่องเที่ยวได้ยังไง สถานที่ที่เราจะไปควรเขียนเป็นโรมันจิเอาไว้ด้วย เวลาถามทางเค้าจะได้รู้ว่าเราจะไปที่ไหน อย่าคิดว่าอังกฤษเก่งแล้วจะเอาตัวรอดในญี่ปุ่นได้นะ เพราะคนญี่ปุ่นไม่เก่งอังกฤษพอๆ กับคนไทย (แต่ถ้าคนไหนเก่งก็เก่งมากๆ เลยนะตัวเธอว์) แผนผังการเดินทางด้วยรถไฟ เนื่องจากในโตเกียวมีรถไฟที่ให้บริการหลักๆ อยู่ 3 บริษัท ได้แต่ JR (บนดิน), Metro(ใต้ดิน), Toei(ใต้ดิน) ทั้งสามสายจะมีบัตรเหมาวันของตัวเอง และบัตรรวมเหมาทั้งสามสาย ดูให้ดีๆ ว่าเราควรจะซื้อบัตรเหมาหรือเปล่า และต้องซื้อแบบไหน  (เรื่องรถไฟเล่าได้เป็นวันๆ เอาเป็นว่าลองศึกษาดูเองก่อนแล้วกันนะจากเว็บ hyperdia)


เท่านี้เราก็พร้อมเดินทางแล้ว ส่วนรายละเอียดเรื่องการแต่งกาย ก็ดูจากสภาพอากาศก่อนเดินทางแล้วกัน เตรียมตัวให้พร้อม พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นเชื่อถือได้ 100% (ไม่เหมือนกรมฝนตกแล้วจะบอกหร๊อก)


การกรอกเอกสารออกจากเมือง และเอกสารเข้าเมืองบนเครื่องบินยกไว้ตอนหน้าแล้วกัน ไม่ได้ถ่ายรุปมา ไว้จะถ่ายรูปมาให้ก่อนกรอกรายละเอียดกัน ฮ่าๆ


ปล.เอนทรี่นี้เนื้อหาเยอะมาก สาระหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่อิชั้นเมื่อยมาก พิมพ์ติดต่อกันหลายชั่วโมง (นั่งระลึกชาติอยู่ ฮา)

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Japan2 #2

อัพเร็วกว่าที่คิด ยังคงขยันอยู่นั่นเอง เพราะมีเนื้อหาและรูปน้อยต่างหากเล่า

ถึงสถานีอาซาคุสะ แล้วก็เดินข้ามสะพานน้ำเงินเพื่อไปที่พัก ตรงนี้เดินหลงทางกันด้วย ว๊าวๆ (ดีใจทำไม) เดินหลงไปไกลเลย กว่าจะรู้ตัวว่าเดินเข้าผิดซอยตั้งแต่แรก (โง่จริงชั้น) และแล้วก็ถึงที่พักโดยปลอดภัย หลังจากเดินซะนาน ยังไม่ได้เช็คอินเพราะยังไม่ถึงเวลา เลยฝากกระเป๋าไว้ที่เคาเตอร์ จะไปอุเอโนะ ต้องขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีอาซาคุสะ เข้าวัดไหว้พระซะหน่อย เอาฤกษ์เอาชัย

หลายๆ คนเสียเงินกับถนนสายนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ ขนมเหรอ ไม่สน (จริงๆ บ่อจี๊นะเอง)

ถึงประตูในแล้ว ช่วงก่อนประตูนี้จะมีพระมารับบริจาคเงินด้วย แต่เราฟังไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้ว่าเค้ามารับบริจาคจริงหรือเปล่า ไม่กล้าให้เพราะคุยไม่รู้เรื่องนี่แหล่ะ

คนเยอะมากไม่กล้าเข้าไปด้านใน ไหว้พระ "ขอให้ลูกเดินทางปลอดภัย เที่ยวอย่างมีความสุข ได้สบตาริสะ" ข้อหลังนี่แอบหวังนะเนี่ย หุหุ

หลังจากนั้นก็เข้าไปหลงในเขาวงกตของฮัลโหลโปร กว่าจะหาทางออกเจอ หมดเงินหลายพันเยน ในชอปไม่มีรูปนะเคอะ เค้าห้ามถ่ายรูป ได้มาแค่หน้าชอป

หลังจากกระเป๋าเบา แต่มือมีของถือเพิ่ม เราก็ไปต่อกันที่อากิบะเพื่อรับตั๋วคอนมอร์นิ่งตรงหน้าตึกที่จัดอีเว้นท์น้องๆ ซากุระ (ข้ามค่ายเลยวุ๊ย) แต่ไปรับบัตรไม่ทัน น้องเข้าอีเว้นท์ไปแล้ว เลยเดินเล่นในอากิบะกันเพลิน หันไปหันมา โอ๊ะเซ่เว่น ฮี่ๆ

เข้าตึกนี้กันดีกว่า เดี๋ยวจะมาไม่ถึงอากิฮาบาระ ต้องไปชั้น 8 ด้วยนะ (ถือถุง H!P ใส่เสื้อ MM Support เข้า AKB48 Shop ฮ่าๆ)

หลังจากนั้นก็กลับไปหน้าอีเว้นท์ใหม่เพื่อรับของต่างๆ ระหว่างรอของอีก 1 อย่าง ก็เจอน้องๆ ซากุระเดินออกมาจากตึกที่จัดอีเว้นท์ เนียนโบกมือให้น้องด้วยเลย (ข่าวว่าจขบ.เพิ่งรู้จักน้องๆ ก่อนไปไม่นานมาก) หลังจากเดินเล่นจนสนุกสนานเราก็กลับที่พักกัน ที่รีบเพราะต้องไปเช็คอินด้วย อย่าลืมน้าว่ายังไม่ได้เช็คอินเข้าที่พัก
 
 

เดินข้ามสะพานแดงไปเรื่อยๆ ซูมซักหน่อยเพื่อให้ได้บรรยากาศ
 
 

เดินข้ามถนน 1 ครั้ง แล้วเข้าซอยก่อนถึงป้ายรูปคลื่นนั่นเลย ตรงไปเรื่อยๆ

เข้าที่พักเช็คอิน ปูเตียง คลุมผ้าห่ม แล้วก็รีบออกจากห้องเพื่อไปชินจูกุ เพราะวันนี้มีอีเว้นท์จับมือกับสมาชิกเบอร์รี่ซ์โคโบ 3 คนจาก 7 คน คือ Momoko, Chinami, Yurina แต่มีข้อแม้ว่าต้องซื้อพีบีฮาวาย ไม่มีปัญหา รวมของตัวเองและของที่ฝากซื้อ สรุปแล้วที่ไปกัน 3 คนก็ได้จับมือกันคนละรอบ รูปนี้เป็นรูปตอนเดินออกจากที่พัก ข้างหน้าในซอยที่เห็นคือซอยที่เดินไปทะลุรูปด้านบน เลือกได้ว่าจะข้ามสะพานลอยทางซ้าย หรือข้ามทางม้าลายด้านขวา

แต่ผลสรุปกลายเป็นว่าตอนเช้าข้ามสะพานลอย ตอนเย็นข้ามทางม้าลาย (ก็เดินกันจนเหนื่อยขึ้นบันไดไม่ไหวแล้วนี่นา) 

สุดท้ายปิดที่รูปบัตรอีเว้นท์จับมือแล้วกัน (ไม่ชัดต้องขออภัย ถ่ายจากโทรศัพท์แล้วตัดมาเฉพาะบัตรอีกต่างหาก)

Japan2 #1

เห็นหัวข้อ Japan1 ก็น่าจะเดาได้ว่า ต้องมี Japan2 แน่นอน เพียงแต่จขบ.อู้มาก ไม่เขียนซักที ฮ่าๆๆ
ครั้งนี้เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในชีวิตและในรอบปี ช่วงวันที่ 11-16 ธันวาคม 2553 ห่างจากครั้งแรกประมาณ 7-8 เดือน

มาเล่าสาเหตุที่ไปกันก่อนดีกว่า เนื่องจากมีการประกาศจบการศึกษาของสมาชิก morning musume ถึง 3 คน เป็นครั้งแรกเลยนะที่ออกพร้อมกันเยอะขนาดนี้ ปกติออกพร้อมกันมากสุดก็ 2 คน (คู่ทสึจิคาโกะ ไม่นับรุ่น 5 ที่ออก 2 คนนะ เพราะมาโกโตะยังได้เล่นละครเวทีก่อนออก) แต่ถ้านับว่าในปีก็ปกติ เพราะมีออก 3 คนในปีเดียวกันแล้ว (แต่สมาชิกที่เหลืออยู่ก็เหลือเยอะกว่าครั้งนี้อยู่ดี) สมาชิกที่ออกจากวงครั้งนี้เป็นรุ่น 6 กับรุ่น 8 คือ Kamei Eri, Jun Jun, Lin Lin จะทำให้สมาชิกจาก 8 คนลดเหลือ 5 คน ทริปนี้จึงเกิดขึ้น....

ด้วยความที่ฉุกละหุกทุกอย่าง วันคอนมีการเพิ่มมาแบบเซอร์ไพรส์ จำนวนคนที่คาดว่าตอนแรกจะไปกันเป็นสิบ เหลือผู้รอดชีวิต (ตามชื่อคอนเลยวุ้ย) แค่ 3 คน (ไปเจอที่ญี่ปุ่นอีก 1) งบประมาณมีไม่มาก แต่ความอยากมีมาก (เอ๊ยไม่ใช่แหล่ะ) ที่งบเหลือน้อยเพราะไปทุ่มกับตั๋วคอนรอบก่อนแกรดกันหมด (ดูกันคนละ 3 รอบค่าตั๋วสองรอบแรกสองหมื่นกว่าเยน จะเหลืออะไรมั๊ยนั้น ฮ่าๆ) ทางเลือกในการเดินทางจึงเป็นเวียดนามแอร์ไลน์ และที่พักแบบห้องรวม 4 คน ราคาคืนละ 2000 เยนต่อคน

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และตั๋วคอนเสิร์ต ก็ออกเดินทางกันเถอะ ที่เหลือไปตายเอาดาบหน้า หน้าลุย! เอ๊ะ หน้าเดิน!

เครื่องออกจากไทยในวันที่ 10 ธันวา ถึงญี่ปุ่นวันที่ 11 ธันวา และต้องเปลี่ยนเครื่องที่นครโฮจิมินห์ของเวียดนาม  ดังนั้นเอนทรี่นี้ยกให้กับการเดินทางเลยแล้วกัน


ลืมถ่ายรูปสมาชิกในบอร์ดที่มาส่งเลย (อารมณ์ประหนึ่งมาส่งไอดอล ดีที่ไม่มีป้ายมาด้วยนะเนี่ย หุหุ)

เข้าตม.เถอะ เดี๋ยวแถวยาว (โดนถามด้วยไปกี่คนเนี่ย ต้องไปค้างเวียดนามด้วยน้า) หลังจากผ่านตม.มาเรียบร้อย ครั้งนี้ขอไม่ลงรูปที่ทุกคนต้องถ่ายแล้วกัน เปลี่ยนมุมกันบ้าง

ดูป้ายหน่อยสิ เวียดนามแอร์ไลน์ต้องไปเกจไหน (ในตั๋วมีไม่รู้จักดู)

ถึงแล้วเกจ F ไกลเหมือนกันน้า (ก็เดินเล่นกันจนเหนื่อย)

บรรยากาศระหว่างรอขึ้นเครื่อง (จริงๆ ก็ถ่ายมาหลายรูป แต่ถ่ายรูปไปเดินไป สั่นมากๆ เป็นพวกหยุดนิ่งๆ แล้วค่อยถ่ายรูปไม่ได้ก็งี้แหล่ะ)

บอร์ดดิ้งพาสสสสสส ใบบนจากไทยไปโฮจิมินห์,เวียดนาม เจ้าหน้าที่เช็คเรียบร้อย ใบล่างจากเวียดนามไปนาริตะ,ญี่ปุ่น ใบล่างสุด (ที่เห็นไม่ชัดนั่นแหล่ะ) ใบออกจากเมืองของประเทศไทย

ระหว่างเดินไปขึ้นเครื่อง เพิ่งรู้ว่ามีเก้าอี้แบบนี้ตรงที่รอขึ้นเครื่องด้วย o.O

ครั้งที่แล้วไปกับเจ้าดอกบ๊วย ครั้งนี้ไปกับเจ้าดอกบัว เข้าไปในดอกบัวกันเถอะ เที่ยวบินที่ VN0852 เป็นเครื่อง Airbus A321 ที่นั่งเป็น 2 แถว นั่ง 3-3

พอเครื่องไต่ระดับได้เต็มที่ก็เริ่มแจกอาหาร เพราะระยะเวลาบนเครื่องน้อย แค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ต้องทำเวลากันหน่อย (เหมือนจะเป็นปลามั๊งนะ ลืม ฮ่าๆ)

กินอิ่มนั่งชมความมืด+คุยไปเรื่อยๆ แปปเดียวก็ถึงเวียดนามแล้ว แต่ไม่มีงวงช้างมาต่อที่เครื่องนะ ต้องนั่ง(ยืน)รถบัสเข้าเทอร์มินัลกัน ลำนี้แหล่ะที่นั่งมา

มาถึงเทอร์มินัล ยังไม่ทันไร รถก็รีบออกแล้ว ได้รูปรถมาแบบเบลอๆ

ผ่านด่านตรวจโลหะ จะตรวจอะไรกันหนักน้า จากกรุงเทพก็ตรวจแล้ว จะเข้าไปนั่งรอที่เกจก็ตรวจอีก

และแล้วเราก็หลุดพ้นด่านทั้งหลายมาได้โดยปลอดภัย เดินเล่นกันดีกว่า เวลาเหลือเยอะกว่าเครื่องจะออกอีกที มีเวลาเดินเล่น 2 ชั่วโมงกว่า (เยอะกว่านั่งมาเวียดนามอีกอะ) คนขายของที่นี่ใส่ชุดพื้นเมืองของเวียดนามหมดเลย (แต่ดุมาก รอวันกลับจะเล่าให้ฟังว่าดุยังไง)
 

ป้ายห้องน้ำภาษาเวียดนาม เดินไกลนะห้องน้ำเค้าเนี่ย แถมอยู่ซะลึกอีกต่างหาก

เดินไปเกจกันเถอะ ไปดูว่ามีอะไรให้เล่นบ้างหรือเปล่า ทางเดินไปเกจ 19 (ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เพราะเดินแปปเดียวก็ทั่ว <<เดินหาคอมเล่นซะทุกเกจ)

คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าดอกบัวลำนี้ที่จะพาเราไปญี่ปุ่นนะ เพิ่งมาเทียบท่า
 

หน้าตาเกจ 19 ที่นั่งรอเครื่อง มีคอมให้เล่นเกจละ 2-3 เครื่อง แต่ใช้ได้จริงอาจจะแค่ 1 เครื่อง (หรือใช้ไม่ได้เลย ฮ่าๆ)

แต่ตอนที่ไปถึงคงเพราะห่างจากเวลาอีกนาน คอมเลยใช้ไม่ได้ซักเครื่อง เดินไปดูเกจอื่นก็ได้ ป้ายบอกรายละเอียด ไม่อลังเท่าที่สุวรรณภูมิเลย

ได้เครื่องคอมไว้เล่นทวิตบอกกลับที่ไทยแล้ว เย้ ^ ^ คอมอ่านญี่ปุ่นไม่ออก อ่านไทยได้ แต่พิมพ์ไทยไม่ได้ สุดยอดไฮโซ ทวิตเตอร์ และบอร์ด mm-thailand @VIETNAM (ด้วยความลำเอียงอย่างถึงที่สุด เราจึงได้หัวบอร์ดด้านนี้ ฮ่าๆๆๆ)
 

เล่นจนเบื่อก็ยังมีเวลาเหลือ เริ่มเดินเล่นอีกรอบ เอ๊ะนี่คืออะไรอะ?? เป็นกระดาษมีเพียบเลยวางอยู่ในกล่องพลาสติกใส ติดกับผนัง

คำเฉลยยยยย (เก็บมาฝากเพื่อนๆ กันเพียบ บ้านเราไม่มี ฮ่าๆ)

ส่วนอันนี้ไม่ได้เอามาฝากใคร และไม่ได้ส่งให้ใครนะ ช็อคโกแลตในแพ็คเกจที่น่าสนใจ แต่เราไม่มีเงินซื้อ (มองไกลๆ ดูไม่ออกนะเนี่ย)

เล่นจนเพลิน ทั้งนอนเล่น ทั้งเดินเล่น ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ง่วงมากๆ ด้วย จะเที่ยงคืนแล้วนี่นา หมดพลังงานไปกับการเล่นทุกอย่างที่เล่นได้ ครั้งนี้เป็นเที่ยวบิน VN950 กว่าเครื่องจะเทคออฟก็เที่ยงคืนนิดๆ แล้ว ไม่แน่ใจว่าใช่เครื่อง Airbus A330 หรือเปล่า เพราะไฟลท์นี้ไม่เห็นมีบินแล้ว (หรือแค่เปลี่ยนเลขไฟลท์ ช่างเถอะ) ที่นั่งเป็นแบบ 2-4-2 ดังนั้นจะต้องมีคนหนึ่งไปนั่งคนเดียว แต่ได้นั่งติดหน้าต่าง เพราะรีเควสไว้ (โทรรีเควสโดยตรงกับสายการบินเลย) ที่นั่งหรูกว่าเที่ยวแรก มี PTV ให้ดูด้วย
 

ออกจากโฮจิมินห์แล้ว บายบาย เดี๋ยวค่อยกลับมาเจอกันใหม่น้า

เครื่องยังไม่เทคออฟห้ามหลับ ครั้งนี้ไม่ง่วงเท่าครั้งที่แล้ว ระหว่างรอเวลานอน รื้อๆ ใบรายการออกมาดู โอ๊ะมีเพลง C-ute ด้วย (แต่จากการเปิดฟังก่อนหลับ วนยังไงก็ไม่เจอเพลงนี้เลย โดนหลอกอ่า T^T)

ก่อนจะหลับก็ได้รับแจกขนมของว่าง เป็นถั่วตราดอกบัว แต่จะนอนไม่กินโยนใส่กระเป๋าเรียบร้อย (นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่มีรูปขนม ฮ่าๆ) หลับได้เกินครึ่งทางมาพอควร ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนถึงโตเกียวก็แจกอาหาร ให้กินข้าวเร็วไปมั๊ยอ่า แต่ก็กินนะ (ซึน) ข้าวกับกุ้งก็งั้นๆ แต่ผักดองอร่อยเปรี้ยวนิดๆ สดชื่นมากๆ ไข่หวานชืดไปเลยงั้นๆ แต่ควักเนยมากินเล่นหมดเลย ฮ่าๆ

รายละเอียดที่ได้จาก PTV หลังจากกินข้าวเสร็จ (เป็นเด็กดีห้ามกินแล้วนอนนะ เดี๋ยวไขมันจุก) จริงๆ แล้วเพราะนอนต่อไม่ได้ต่างหาก กินข้าวผิดเวลา โดนปลุกผิดเวลา ตาค้าง รับผิดชอบชีวิตเค้าเลยนะ
อีก 1.24 ชั่วโมงจะถึงโตเกียว เวลาที่เวียดนามตอนนี้คือตี 4 (เวลาเดียวกับไทย) เวลาที่ญี่ปุ่นตอนนี้คือ 6 โมงเช้า จะถึงประมาณ 7 โมงครึ่ง
 

นั่งดูวิวที่ใกล้เช้าไปเรื่อยๆ สวยมากๆ แสงสีส้มจะมาจากทางด้านขวาของเครื่อง จนมาถึงฝั่งซ้ายของเครื่อง
 

และแล้วสิ่งที่พลาดไปจากทริปที่แล้ว เราก็ได้เห็นแล้ว ฟูจิซังที่มองจากเครื่องบินแม้เมฆจะเยอะก็ตาม ปลื้มๆ แต่กล้องคอมแพคซูมได้แค่นี้ พยายามมองกันหน่อยแล้วกันว่าฟูจิซังอยู่ไหน ฮ่าๆๆ
 

ตอนแลนดิ้งข้างนอกอากาศเย็นมาก หมอกก็เยอะมาก ทำให้มองไม่เห็นว่าถึงพื้นหรือยัง รู้สึกตอนกางล้อแล้วก็ตอนล้อถึงพื้น (ถึงแล้วก็ยังมองไม่เห็นพื้นเลยอะ หมอกเต็มไปหมด) ถึงสนามบินแล้ว อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นห้องน้ำที่นาริตะ ป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วน้า

ด้านนอกเย็นจนมีน้ำแข็งที่พื้นเลย บรรยากาศตอน 7 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น

ขอบคุณเจ้าดอกบัวลำนี้ที่ทำให้มาถึงญี่ปุ่นโดยปลอดภัย

Yokoso! Japan ขอเป็นที่ระลึกซักภาพนะ (แหะแหะ ภาพสมาชิกในทริปไม่ลงแล้วกัน)

เนื่องจากที่เราลงไม่ใช่อาคารหลักของเทอร์มินัล 2 ต้องนั่งรถ (เรียกว่าอะไรหว่าที่วิ่งระหว่างอาคารไม่มีคนขับอะ ไม่ใช่คำถามนะ ลืมจริงๆ) ไปที่อาคารหลัก เพื่อไปตม.ญี่ปุ่น
 

มีสองคัน วิ่งสลับกัน ระหว่างอาคาร หน้าตาของรถเหมือนกันเด๊ะ ด้านในมีที่นั่งด้วย แต่พับติดกับผนังรถ เลยไม่รู้ ยืนกันตามสบายเลย ฮ่าๆ

ผ่านตม.เรียบร้อย นี่เราอยู่ญี่ปุ่นแล้วเย้ เดินหาที่ซื้อตั๋วรถไฟเมโทร ลืมด้วยว่าซื้อจากตรงไหน เดินวนซัก 3 รอบได้ มึนเลย แล้วก็ลงไปชั้นล่างเพื่อขึ้นรถไฟเคย์เซย์เข้าโตเกียว ปลายทางอยู่ที่สถานีอาซาคุสะ คันนี้แหล่ะที่เรานั่งไปกัน
 

วันเที่ยววันแรก รอติดตามได้ที่เอนทรี่หน้านะ (จะอัพเมื่อขยัน ^ ^)